ภาวะเครียด-ซึมเศร้า ปัญหาใหญ่นักศึกษาไทยที่ต้องเร่งแก้ไข

ภาวะเครียด-ซึมเศร้า ปัญหาใหญ่นักศึกษาไทยที่ต้องเร่งแก้ไข

จากผลสำรวจของ “โครงการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย” ซึ่งดำเนินงานโดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และเครือข่ายผู้แทนจากมหาวิทยาลัย 15 แห่ง ในเวทีแลกเปลี่ยนแนวทางการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสุขภาวะในประเทศไทย เดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา

พบสถิติพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในหลายประเด็นที่น่าวิตกกังวลและควรเร่งดำเนินการเพื่อหาแนวทางในการลดปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะในด้านสภาวะสุขภาพทางจิต หลังพบนิสิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยมีความเครียดสะสมเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีความคิดอยากฆ่าตัวตายสูงขึ้นถึงร้อยละ 4

โดยผลสำรวจได้ระบุถึงประเด็นสุขภาพจิตว่านิสิตนักศึกษา กว่าร้อยละ 30 รู้สึกเศร้าบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา โดยมีสัดส่วนถึงร้อยละ 4.3 ที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ามีอาการทางจิตเวชอย่างโรคซึมเศร้า และโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar) เกือบร้อยละ 40 มีความเครียดบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา โดยกว่าร้อยละ 4 ของนิสิตนักศึกษาทั้งหมด เคยคิดฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้งถึงตลอดเวลา ร้อยละ 12 ได้เคยลงมือทำร้ายร่างกายตนเองแล้ว โดยในจำนวนนี้มีถึงร้อยละ 1.3 ที่ได้ลงมือทำร้ายร่างกายตนเองบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา

นายพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า ในการเผยผลสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาฯ ในวงกว้างครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทำให้บุคลากรระดับผู้บริหารสถาบันการศึกษาได้รับรู้และเริ่มดำเนินการวางแผนจัดการภายในมหาวิทยาลัย รวมถึงขอความร่วมมือจากครูอาจารย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้องในคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัยช่วยกันสอดส่องดูแล เพื่อยกระดับให้นิสิตนักศึกษามีสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ และเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีศักยภาพพร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่อไปในวันข้างหน้า

โดยทุกปัญหาที่สะท้อนออกมาจากผลสำรวจล้วนสำคัญ แต่ปัญหาที่เร่งด่วนอันดับต้นๆ ก็คือ “เรื่องความเครียดและภาวะซึมเศร้าของนักศึกษา” ซึ่งเป็นปัญหาที่ควรสำรวจต่อในเชิงรุก เพื่อจะรับรู้ถึงสาเหตุและระดับของปัญหาเพื่อหาแนวทางแก้ไขได้อย่างถูกต้องและตรงจุด เพราะการป่วยทางสภาพจิตใจย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังปัญหาอื่นๆ ซึ่งหากนักศึกษาเกิดความเครียดจากการเรียน ทางมหาวิทยาลัยเองก็ควรมีการบริหารจัดการ อาทิเช่น การหากิจกรรมที่ผ่อนคลาย หรือจัด Health Promotion เพื่อให้คำปรึกษาและแนะนำเพื่อให้นักศึกษาจัดการกับความเครียดของตัวเองได้ แต่หากอยู่ในขั้นที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ก็จำเป็นต้องมีระบบการส่งต่อที่ดีไปยังหน่วยงานด้านสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัย เพื่อการดูแลรักษาในขั้นตอนต่อไป เป็นต้น

ปัญหารองลงมา คือด้านการเงิน เนื่องจากการที่รับรู้ว่าครอบครัวมีภาระหนี้สิน หรือแม้แต่ตัวนักศึกษาเองหากติดพนันออนไลน์ หรือมีหนี้นอกระบบ ก็ย่อมส่งผลให้เกิดความเครียดตามมา ซึ่งก็ควรมีแนวทางในการบริหารจัดการทางด้านการเงิน และอีกปัญหาสำคัญอีกประการ คือ เหล้า บุหรี่ และยาเสพติดอื่นๆ ก็เป็นอีกสิ่งที่เวลามีปัญหาหรือมีความเครียดสะสมมากๆ ก็อาจหลงผิดไปพึ่งพาสิ่งเสพติดเหล่านี้ ซึ่งต้องคำนึงถึงสถานที่ตั้งของสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ควรให้ห่างจากสถาบันการศึกษา ซึ่งในเชิงนโยบายควรมีตัวบทกฎหมายควบคุมอย่างชัดเจนและต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ภาวะเครียด-ซึมเศร้า ปัญหาใหญ่นักศึกษาไทยที่ต้องเร่งแก้ไข

ทุกปัญหาควรได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ซึ่งจำเป็นต้องมีหน่วยงานที่รับผิดชอบร่วมกัน โดยกลุ่มแรกที่ควรให้ความร่วมมือ ได้แก่ 1. ผู้บริหารสูงสุดและผู้บริหารระดับรองๆ ลงมาของสถาบันการศึกษา เพราะจะเป็นผู้ที่สามารถบริหารได้ทั้งสถาบัน สามารถคิดและวางกลไกในการดูแลนิสิตนักศึกษาได้ และจะต้องทำงานกันเป็นทีม 2. พ่อแม่และผู้ปกครอง เพราะครอบครัวเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยดูแลนิสิตนักศึกษาได้อย่างใกล้ชิด 3. กลุ่มเพื่อน เพราะด้วยช่วงวัยนี้จะติดเพื่อน เชื่อเพื่อน ซึ่งเพื่อนเองก็ต้องคอยสังเกตเพื่อนด้วยกัน คอยดูแลใส่ใจกัน

รศ.ดร. ญาณีพร พัชรวรโชติ รักษาการแทนผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า ทางสจล. มองว่าเรื่องสุขภาพจิตของนักศึกษา เป็นสิงที่น่ากังวลมากที่สุดจะต้องเร่งแก้ไข จากผลสำรวจของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ พบว่านักศึกษา สจล. มีความเครียดสูงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 และมีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย สูงถึงร้อยละ 5 โดยที่ผ่านมา สจล. ได้มีการดำเนินงานเกี่ยวกับสุขภาพจิตของนักศึกษาอยู่แล้ว แต่พอได้เห็นผลสำรวจฯ ยิ่งตระหนักถึงปัญหานี้มากขึ้น และมีการวางแผนที่จะทำโครงการช่วยเหลือนักศึกษาและบุคลากรในด้านสุขภาพจิตให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ ฝ่ายกิจการนักศึกษาจะมีบริการให้คำปรึกษาทางด้านสุขภาพจิต ผ่านโครงการ KMITL MIND ROOM โดยมีนักจิตบำบัดคอยให้คำปรึกษาทั้งรูปแบบ onsite และ online สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งในทุกเดือนจะมีการประชาสัมพันธ์ทั้งช่องทาง Facebook และกระจายตามกลุ่ม LINE ของนักศึกษา สำหรับกรณีที่มีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย ก็จะมีการทำใบนัดส่งต่อไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายประการ เช่น ช่วงวันเวลาที่ให้บริการน้อย โดยเฉลี่ยต่อหนึ่งชั่วโมงนักจิตบำบัดจะให้คำปรึกษาได้เฉลี่ย 2 คน อีกทั้งจำนวนผู้เชี่ยวชาญกับสัดส่วนของนักศึกษาไม่สมดุลกัน รวมถึงงบจัดสรรสำหรับการจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาไม่เหมาะสม จึงทำให้ทุกวันนี้ ขาดแคลนนักจิตบำบัด จึงอยากหาแนวทางร่วมกันเพื่อสานต่อโครงการ KMITL MIND ROOM และให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น

ทางด้าน ดร.วิรัตน์ ปิ่นแก้ว อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม กล่าวว่า ภาวะเครียดและโรคซึมเศร้ามีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเกิดได้จากปัญหาแวดล้อมต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน การเรียน ครอบครัว และอื่นๆ โดยในส่วนนี้ได้เตรียมมาตรการให้อาจารย์ที่ปรึกษา เข้ามาช่วยดูแลนักศึกษาให้ใกล้ชิดมากขึ้น ซึ่งจะจัดทำแบบฟอร์มคู่มือเพื่อเป็นแนวทางในการปฎิบัติ รวมถึงจะมีการบริหารจัดการเวลาเรียนให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น ขยายเวลาลงซัมเมอร์ หรือเปิดบางวิชาในช่วงซัมเมอร์ เป็นต้น ทั้งนี้ในฐานะครูอาจารย์ทุกคนต่างก็อยากเห็นลูกศิษย์อยู่ในมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุข มีงานทำ และมีอนาคตที่ดี

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ restaurantguidetoronto.com

แทงบอล

Releated